Topics
“จงเป็น” จงเป็นคืออะไร แผนงานที่อยู่ในจิตของผู้ทรงเอกะซึ่งกล่าวว่า “จงเป็น” ควรจะเป็นขึ้นมาในทางจิตวิญญาณ
เมื่อกำหนดการเกิดเป็นรูปพรรณสัณฐานของปรากฏการณ์ทางนามธรรม
พระผู้ทรงเอกะซึ่งสั่งว่า “จงเป็น” ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าโลกที่สำแดงทางจิตวิญญาณ
เพื่อความเขลาจะกลายเป็นความรู้และการตระหนัก
เรารู้ว่าการมองเห็นได้รับการกระตุ้นเมื่อจุดสำคัญที่จะมีสมาธิมีอยู่พร้อมในนั้น
ในขั้นตอนการสร้างสรรค์ดังกล่าวจุดสำคัญคือการสร้างสรรค์และบันทึกเวลาของพระเจ้า
หลัจากมายังโลกนี้แล้ว จุดสำคัญพบกับการเปลี่ยนแปลงแต่กฎเกณฑ์ที่ยังคงเหมือนเดิม
เช่นเดียวกับที่ความเป็นจริงปรากฏขึ้นบนจอภาพจิตใจ
ความรู้สึกที่เป็นสมมติฐานและไม่จีรัง ก็ถูกนำไปสู่จอภาพจิตใจด้วย
ชีวิตอันมีข้อจำกัดที่แสนสั้นและ สภาวะไม่จีรังของจิตใจนี้เอง
ที่ทำให้เราถูกกักขังอยู่ในความรู้สึกที่มีขอบเขต และในมุรอกอบะฮ์
ความคิดเกี่ยวกับครูทางจิตวิญญาณคือ ความพยายามที่จะเพ่งสมาธิความคิดไปยังบางคน
ดังนั้น ภาพของครูจึงสามารถกลับขึ้นมาปรากฏบนจอภาพจิตใจของเราได้อีก
เราได้รับการปลดปล่อยจากความรู้สึกที่มีขอบเขต ยิ่งความคิดสำแดงบนจอภาพจิตใจถี่เท่าใด
การสร้างแบบแผนขึ้นในจิตใจก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
และในเชิงจิตวิญญาณเรียกแบบแผนของจิตใจนี้ว่า “การเข้าใกล้ความคิด”
เมื่อเราจินตนาการว่า “ครู” หรือ “เชค”
เป็นสาระสำคัญของกฎที่นิรันดร์ (Eternal Law) ความรู้เกี่ยวกับคุณลักษณะของพระเจ้าที่มีผลอยู่ในครูหรือเชคจะสะท้อนมาบนจิตใจของเราซ้ำๆ
จนมีผลต่อการรู้แจ้งเห็นจริงในจิตใจของผู้สัมพันธ์ทางจิตวิญญาณด้วยการที่แสงซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในครู
และถ่ายทอดมายังเขา
ในที่สุดความรู้แจ้งเห็นจริงของหัวใจผู้สัมพันธ์ทางจิตวิญญาณก็มาถึงระดับเดียวกับครู
ซึ่งในแนวทางซูฟี (รหัสยะนิยม) เรียกสภาวะเช่นนี้ว่า “สัมพรรคภาพ”
(Affinity) ในภาษาอาหรับเรียกว่า “นิศบะฮ์”
ตามทรรศนะทางจิตวิญญาณ
วิถีทางที่ดีที่สุดและได้รับการทดสอบในการมีพึงพอใจกับสัมพรรคภาพ
คือความปรารถนาหลงใหลในความรัก
จิตใจของครูยังคงถ่ายเทมายังผู้สัมพันธ์ทางจิตวิญญาณตามความหลงใหลในความรักและความปรารถนาต่อครูที่ไหลสะพัดอยู่ในตัวเขา
และบรรลุถึงเวลาที่เมื่อแสงซึ่งทำหน้าที่อยู่ในตัวเชค
ซึ่งความจริงคือผลสะท้อนของอภิปัสนา (ตะญัลลี) ของพระเจ้า
ได้ถ่ายทอดมายังผู้สัมพันธ์ทางจิตวิญญาณ
สิ่งนี้สามารถทำให้ผู้สัมพันธ์ทางจิตวิญญาณมีความคุ้นเคยกับแสงที่สว่างไสวและอภิปัสนา
(Beatific Vision) สภาวะเช่นนี้ในเชิงของซูฟี
(รหัสยะนิยม) เรียกว่า “ความเป็นหนึ่งเดียวกับครู” (ฟะนาฟิชเชค) แสงของครูและอภิปัสนาที่สว่างไสว ซึ่งทำหน้าที่อยู่ในตัวครู
เช่นเดียวกับที่ผู้สัมพันธ์ทางจิตวิญญาณได้ดูดซึมความรู้และลักษณะพิเศษของครู
ที่ได้ดูดซับความรู้และคุณลักษณะของท่านศาสดา (ขอความสันติพึงมีแด่ท่านและลูกหลาน)
ด้วยความตั้งใจอุทิศและด้วยสมาธิในหัวใจ
ในสภาวะที่ผู้สัมพันธ์ทางจิตวิญญาณ
มีความเป็นหนึ่งเดียวกับครูศักยภาพของเชคจะกลายมาเป็นถูกกระตุ้นในผู้สมพันธ์ทางจิตวิญญาณ
(ซาลิก) เนื่องจากเพราะเชคได้รับสัมพรรคภาพของท่านศาสดา
(ขอความสันติพึงมีแด่ท่านและลูกหลาน) ในเชิงของซูฟีเรียกว่า “ความเป็นหนึ่งเดียวกับท่านศาสดา”
(ฟะนาฟิรรอซูล) ท่านศาสดามุฮัมมัด (ขอความสันติพึงมีแด่ท่านและลูกหลาน)
กล่าวว่า
“ฉันเป็นมนุษย์เหมือนกับพวกท่าน แต่ฉันได้รับวิวรณ์”
เมื่อคำกล่าวนี้ได้รับการพิจารณาอย่างละเอียด
จะพบว่าความปลื้มปิติของศาสดาท่านสุดท้ายคือได้รับวิวรณ์จากพระผู้ทรงยิ่งใหญ่
ซึ่งสะท้อน “ความรู้ของพระเจ้า”
หรือ “ความรู้เชิงนัยยะ” (อิลมุนลัตตูนี) ซึ่งเป็นความรู้ที่พระเจ้าดลใจโดยตรง คืออภิปัสนา
(ตะญัลลี) ของพระเจ้า
และแสงที่ส่องสว่างบนจิตใจซึ่งได้รับความโปรดปรานของท่านศาสดา
ในสภาวะ “ความเป็นหนึ่งเดียวกับท่านศาสดา” ผู้สัมพันธ์ทางจิตวิญญาณค่อยๆ ปรับตัวและสังเกตความรู้ของท่านศาสดา
เพราะความหลงใหล ความปรารถนาและความรัก
เมื่อความรู้และการเรียนรู้ถ่ายทอดจากท่านศาสดา
(ขอความสันติพึงมีแด่ท่านและลูกหลาน) ไปยังเขาตามความสามารถ
จนมาถึงชั่วขณะที่เป็นโอกาสดี
ผู้สัมพันธ์ทางจิตวิญญาณก็จะซึมซับในคุณสมบัติของท่านศาสดา
(ขอความสันติพึงมีแด่ท่านและลูกหลาน) ตามความปราดเปรื่อง
ความสามารถและศักยภาพในการเรียนรู้ของตนเอง
และเนื่องจากสัมพรรคภาพของเขากับท่านศาสดา (ขอความสันติพึงมีแด่ท่านและลูกหลาน)
และการสนับสนุนของท่าน ท่านสามารถจัดการให้ไปถึงสภาวะดังกล่าวได้
เมื่อเขารับรู้ความเป็นพระผู้อภิบาลของพระเจ้า พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลกจึงกล่าวว่า
“ ใช่ โดยแท้จริงพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า
ผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ”
ในเชิงของรหัสนิยม
สัมพรรคภาพนี้เรียกว่า “ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า”
(ฟะนาฟีลลาฮ์) หรือเรียกโดยทั่วไปว่า “เอกภาพ”
(วะฮ์ดะฮ์) หลังจากนั้น ถ้าผู้หนึ่งได้รับมอบศักยภาพก็จะสำรวจอาณาบริเวณที่ไม่สามารถสรรหาคำพูดที่มาอธิบายได้
เนื่องจากความประณีตและความละเอียดอ่อนของบริเวณดังกล่าว
วัตถุประสงค์ในการกล่าวถึงสิ่งนี้ทั้งหมดคือ
มีจอภาพอยู่ในจิตใจมนุษย์ซึ่งจิตภาพไปบนจอภาพนี้อย่างไม่สิ้นสุด
จนกระทั่งบัดนี้สิ่งอื่นที่แตกต่างกัน ผู้คนก็ต่างมีการอธิบายความมีนัยยะและวัตถุประสงค์ของภาพเหล่านี้แตกต่างกันไป
ถ้าจิตใจของท่านศาสดาอธิบายขอบข่ายของ
“ความรู้ที่ได้รับ” แล้ว
ข้อมูลของภาพเหล่านี้จะถูกว่าเป็นมายาคติ และเป็นข้อสมมติ
และถ้าจิตภาพถูกถ่ายทอดในขอบเขตของ “ความรู้ซึ่งนำเสนอให้”
แล้ว ความรู้ที่บรรจุอยู่ในจิตภาพคือความจริงและเกี่ยวข้องกับความเป็นจริง
แต่กฏเกณฑ์ยังคงเหมือนกัน
คือ สายตาและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของมนุษย์ไม่สามารถกระทำสิ่งใดได้
ถ้าจิตภาพไม่ถ่ายทอดไปนจอภาพจิตใจของมนุษย์
ควาญะฮ ชัมซุดดีน อะซีมี
และถูกนำเสนอในเชิงวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในระดับสากล
คนส่วนใหญ่รู้จักควาญะฮ์ชัมซุดดีน
อะซีมี เพราะรูปแบบการเขียนที่เป็นเลิศ ท่านเป็นเจ้าของหนังสือมากกว่า 13 เล่ม
รวมทั้งแผ่นพับ และเอกสารต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งพูดถึงขอบข่ายความรู้สึกทางด้านอภิปรัชญา
นอกจากกลวิธีการเขียนที่ดีเลิศแล้ว
สำนวนภาษาที่ใช้ยังง่ายต่อความเข้าใจของคนทั่วไปด้วย
ผลงานของท่านในการสร้างความเป็นวิทยาศาสตร์
และความเป็นสถาบันให้กับองค์ความรู้เก่าแก่ ที่ท่านรับมาจากครูของท่าน
ไม่อาจกล่าวเป็นอื่นได้นอกจากความโดดเด่นน่าสนใจ
ควาญะฮ์ ชัมซุดดีน
อะซีมี ซึ่งได้รับการฝึกฝนจากครูของท่านคือท่าน กอลันดาร บาบา เอาลิยาอ์